ตรวจเอดส์ ราคา ? ไปตรวจได้ที่ไหนบ้าง การตรวจ HIV แต่ละแบบในปัจจุบัน

By | มีนาคม 13, 2020

ตรวจเอดส์ ราคา

ตรวจเอดส์ ราคา เท่าไหร่? การตรวจหาเชื้อเอชไอวีในแต่ละแบบ ในปัจจุบันนั้นจะแตกต่างกันออกไป เมื่อคุณติดเชื้อเอชไอวี ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อที่อยู่ภายในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลียไม่มีแรง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายกำลังทำงานหนัก หลักการตรวจเอชไอวี โดยทั่วไปที่แพทย์ตรวจนั้น จะใช้หลักในการตรวจหาภูมคุ้มกันในเลือด โดยปกติแล้วจะทำการตรวจที่ระยะ 1-3 เดือนหลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไปแล้ว

เพื่อให้พ้นระยะฟักตัว หรือที่เรียกว่า “window period” ซึ่งหมายถึง ระยะเวลาที่คุณอาจมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว แต่ผลตรวจเลือดนั้น กลับตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี ทำให้เข้าใจผิดว่าคุณไม่ได้ติดเชื้อ ฉะนั้นหากว่าคุณได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ในช่วงระยะการฟักตัว ผลที่ได้อาจเป็นลบ ทั้งที่จริง ๆ แล้วคุณอาจติดเชื้อแล้วก็ได้

โดยทั่วไปแล้วหากตรวจที่ 1 เดือน แล้วไม่พบเชื้อก็จะแนะนำให้มาตรวจซ้ำอีกที่ 3 เดือน ทั้งนี้ ระยะ “window period” ของการตรวจในแต่ละวิธีอาจไม่เท่ากัน

ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี จะมี 3 วิธีหลัก ๆ และตรวจเอดส์ ราคา ก็จะแตกต่างกันไป ดังนี้

1. การตรวจแบบ Anti-HIV

จะเป็นบริการที่สามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรี โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ถึงปีละ 2 ครั้งที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ โดยต้องแจ้งความประสงค์ และยื่นบัตรประชาชนเท่านั้น โดยหากมาตรวจที่โรงพยาบาล จะสามารถทราบผลตรวจได้ใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ ซึ่งผลที่ได้นั้นจะเป็นผลย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือน หรือหากว่าคุณไปมีความเสี่ยง ในการติดเชื้อมาเมื่อคืน แล้วไปตรวจแบบ Anti-HIV ผลตรวจที่ได้นั้น จะไม่ได้ยืนยันว่าการมีเพศสัมพันธ์ โดยที่ไม่ได้มีการป้องกันของคุณนั้นปลอดภัย ถึงแม้ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นลบ (Negative = ไม่พบเชื้อ)

นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชน ก็มีบริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีแบบ Anti-HIV แต่จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 500-1,000 บาทต่อครั้ง สำหรับการเจาะเลือด และยังไม่รวมค่าแพทย์ ทั้งนี้หากผู้ที่สนใจ สามารถโทรปรึกษาและสอบถามราคาก่อนเข้ารับการตรวจได้ การตรวจแบบนี้จะตรวจได้แม่นยำ เมื่อคุณมีความเสี่ยงมา 21-30 วัน หรือมากกว่า 1 เดือน

2. การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing)

การตรวจแบบ NAT จะมีความแตกต่างจากการตรวจแบบ Anti-HIV ก็คือ จะสามารถชี้วัดผลจากร่างกายย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับความเสี่ยงมา เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้มีการป้องกันมาแล้ว 7 วันก่อน แล้วมีความวิตกกังวลว่าจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจึงมาตรวจ ซึ่งการตรวจหาเชื้อแบบ NAT จะแสดงให้คุณทราบว่า ผลเลือดนั้นเป็นบวกหรือลบ ได้แน่ชัดกว่าการตรวจแบบ Anti-HIV การตรวจแบบ NAT อาจสามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาล

3. การตรวจแบบ Rapid HIV Test

ปัจจุบันการตรวจด้วยวิธีนี้ จะใช้เวลาในการรอผลเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น การตรวจแบบนี้จะนิยมใช้หลักการตรวจแบบหา ANTI-HIV แต่เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งการตรวจในรูปแบบนี้จะสามารถทำการตรวจได้เองที่บ้าน หากว่าคุณค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง อาจจะเจอกับร้านค้าออนไลน์มากมายที่ขายชุดตรวจ หากว่าการตรวจแบบ Rapid HIV Test ให้ผลเป็นบวก ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันว่า

ติดเชื้อจริง ๆ ด้วยขั้นตอนในการตรวจแบบ Anti-HIV หรือ NAT แล้วแต่ระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา เพิ่มเติม คือ การตรวจแบบ Rapid HIV Test สามารถตรวจได้ที่ 21-30 หรือมากกว่า 1 เดือน เป็นวิธีการตรวจที่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะไปโรงพยาบาล ไม่อยากเสียเวลาไปนั่งรอ แต่อย่างไรก็ต้องคำนึงว่าหากผลตรวจออกมาเป็นบวก คุณก็จำเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจเพื่อยืนยันผลด้วย

สรุป ตรวจเอดส์ ราคา เท่าไหร่ 

โดยทั่วไปคนไทยสามารถไปตรวจเอดส์ได้ฟรีที่โรงพยาบาลรัฐปีละ  2 ครั้ง และหากพบว่ามีการติดเชื้อ ผู้ป่วยก็สามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ฟรีตามสิทธิ ที่โรงพยาบาลทุกแห่งภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ หาเป็นคลินิกนิรนามจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 200 บาท แต่หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงประมาณ 600-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล

จากที่กล่าวมานั้น การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตรวจร่างกายประจำปี หากต้องการเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี จะต้องแจ้งให้ทางแพทย์ทราบก่อนเสมอ เพราะแพทย์จะได้เลือกวิธีในการตรวจที่เหมาะสมกับคุณ และที่สำคัญไม่ต้องเขินอาย ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะมันจะเป็นผลดีกับตัวคุณเอง หากรู้ผลก่อน จะได้เตรียมรับมือ และวางแผนในการรักษาที่เหมาะสม